เล่าเรื่องทริปกวนมึนฮาประสาเด็กนิเทศ

วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เล่าเรื่อง TRIP กวนมึน “ฮา” ประสาเด็กนิเทศ


“อันยองฮาเซโย” ค่ะ เพื่อนๆ ขอนำเพื่อนๆทุกท่าน ร่วมสนุกสนานไปกับเรื่องราวการเดินทางที่สุดแสนประทับใจ ของเราชาวนักศึกษา ป.โท นิเทศศาสตร์ ม.กรุงเทพ ยังประเทศเกาหลีนะคะ

เชื่อว่าหลายๆคน พอนึกถึงการเดินทางไปเที่ยวเกาหลี ก็มักจะนึกถึงแต่เรื่องชอปปิ้ง บ้างหล่ะ ตามรอยซีรีส์เกาหลีบ้างหล่ะ แต่ที่จริงแล้ว เกาหลี เป็นประเทศที่มีอะไรน่าศึกษามากมายเลยค่ะ หากจะบอกเล่าไปคงไม่พอแค่สองหน้ากระดาษแน่ๆ

กรุ๊ปเรา มีกันทั้งหมด 30 ชีวิตค่ะ ทริปนี้เป็นทริปดูงานซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิชา Strategic Communication Seminar ซึ่งมีระยะเวลา 5 วัน 3 คืนด้วยกัน เราออกเดินทางกันเมื่อตอนคืนวันอาทิตย์ประมาณเที่ยงคืน ไปถึงสนามบิน อินชอน ก็ราวๆเจ็ดโมงเช้าของวันจันทร์พอดิบพอดี ด้วยสายการบิน Business Airline ซึ่งเป็นสายการบินใหม่ที่เรียกว่า Low Cost นะคะ การต้อนรับของพนักงาน+อาหารบนเครื่อง จัดว่าพอใช้ได้ล่ะค่ะ ถ้าหากเพื่อนๆเดินทางไปเที่ยวเองขอแนะนำ เพราะราคาตั๋วรวมทัวร์แล้วถูกแสนถูกเลยค่ะ ถ้าเป็นหน้าร้อน สนนราคาไม่เกิน 17,900 บาทเท่านั้นเอง












 จากที่นี่ พวกเราหลายคนเริ่มทำท่าเอามือลูบท้องเล็กน้อย เพราะเริ่มหิวกันแล้ว พี่ไกด์ใจดีก็เลยพาเราไปเติมพลังกันก่อน ด้วย ชาบู ชาบู เห็ดสด เสริฟพร้อมข้าวสวย หน้าตาเหมือนชาบูบ้านเรา แต่กลิ่นเต้าหู้ยี้ แรงสสส์ มากค่ะ รสชาติก็ออกจืดๆเค็มๆ ต้องพึ่งน้ำจิ้มสุกี้บ้านเราช่วยเพิ่มรสชาดตามประสาพี่ไทย





อิ่มกันแล้ว เราก็ไม่รอช้า มุ่งหน้าต่อไปที่ “พระราชวังเคียงบก” พระราชวังเก่าแก่ที่สุดของเกาหลี สร้างในสมัยปี ค.ศ. 1394 คนเกาหลีเองก็มีความเชื่อในเรื่องฮวงจุ้ย ไม่น้อยไปกว่าคนจีนนะคะ พับพลาที่ประทับของกษัตริย์เกาหลี ที่นี่จึงถูกออกแบบตามหลักที่ดีที่สุดของฮวงจุ้ย คือด้านหน้าเป็นน้ำและด้านหลังเป็นภูเขา 


สถานที่ต่อมาพี่ไกด์พาเราไปชมคือ “อนุสาวรีย์นกฟินิกซ์” สัญญลักษณ์ของนกอมตะที่ปกป้องคุ้มครองทำเนียบประธานาธิปดี ซึ่งตั้งอยู่บนนนสายสำคัญที่สุดของเกาหลี เพราะเป็นถนนเส้นนี้อยู่บริเวณเดียวกับ “บลูเฮาส์” หรือบ้านประจำตำแหน่งของประธานาธิปดีเกาหลี ทุกหัวมุมทุกซอกซอยของถนนสายนี้ มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด 
เนื่องจากเกาหลีใต้เอง ยังเป็นประเทศที่ต้องระมัดระวังเรื่องความมั่นคงของประเทศค่ะ เพราะหลายครั้งที่มักจะโดนเกาหลีเหนือให้ของขวัญเป็น”ระเบิด”อยู่บ่อยๆ ว่างั้น  หมดแล้วค่ะโปรแกรมของการเดินทางในวันแรก พรุ่งนี้เราจะพาไปเที่ยวกันที่ไหนอีก ต้องมาติดตามกันต่อหล่ะค่ะ ^^

วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

(ภาคต่อ)แนวคิดดีๆจากหนังสือ Bakery & I ชีวิต ดนตรี และเบเกอรี่ ผ่านสายตาของสุกี้

...วันนี้ขับรถกลับบ้าน รถไม่ติดเท่าไหร่...เดินออกมาจากออฟฟิศ รู้สึกได้ทันทีเลยว่าอากาศเย็นเริ่มพัดมาพร้อมกับสายลมเอื่อยๆ ใกล้จะสิ้นปีอีกแล้วซินะ เป็นปีที่ค่อนข้างผ่านไปอย่างรวดเร็ว...วันแต่ละวัน ไม่เพียงแต่สอนเราว่า เราจะดำเนินชีวิตยังไง...แต่สอนให้รู้ว่า เราจะดำเนินชีวิตอยู่ให้ได้ยังไงต่างหาก

    มาพูดถึงหนังสือเล่มนี้ต่อดีกว่า....มีตอนนึงคุณสุกี้เล่าถึงที่มาของวงพอสว่า "ในเวลานั้น นิตยสารบันเทิงคดี โดยมาโนช พุฒตาล ได้จัดกิจกรรม College Artist ขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้ศิลปินระดับมหาวิทยาลัยมาแสดงฝีมือกัน และทำให้ผมได้พบกับนักดนตรีอย่าง Pause หรือ โป้ ปิยะ" เออ เราก็พึ่งรู้ตอนอ่านหนังสือนี่แหละ...ว่าเค้ามาจากไหนปี 2540 เบเกอรี่ เป็นค่ายเพลงที่่ทุกคนต้องหันมาจับตามอง แม้กระทั่งค่ายใหญ่ ...คุณสุกี้บอกว่า คายใหญ่ๆยังต้องนั่งประชุมเพื่อมาช่วยกันวิเคราะห์ว่า แผนธุรกิจของเบอเกอรี่มิวสิค เป็นยังไง ซึ่งคุณสุกี้บอกเลยว่า "ไม่มี" เพียงแต่พวกเค้า ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับค่ายใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำเพลงหรือการทำธุรกิจ และด้วยจังหวะเวลาที่เหมาะสม เราจึงประสบความสำเร็จ

     ท่ามกลางความสำเร็จในสายตาคนภายนอก ไม่มีใครเลยที่จะคาดคิดว่า จะกลับกลายเป็นปีที่มีปัญหาเกิดขึ้นในมุมมองของพวกเรา 4 คน สัญญาณความขัดแย้งเกิดขึ้นในช่วงกลางปี คุณสุกี้เล่าว่า โดยปกติวิธีการทำงานของพวกเค้า ในหนึ่งปี ผู้บริหารทั้งสี่จะต้องมานั่งเจอกันแบบพร้อมหน้า 3-4 ครั้งเป็นอย่างน้อย โดยเฉพาะในเวลาที่มีความเห็นไม่ตรงกัน คุณจะต้องเอาปัญหามากางบนโต๊ะเพื่อจะเคลียร์กัน เพราะไม่อย่างนั้นจะทำงานด้วยกันลำบาก แม้ว่าถึงคราวตัดสินใจจริงระหว่าง 4 คน มันจะต้องมีกรณี 3 คนที่คิดว่า "ไม่ได้" และย่อมต้องมีคนหนึ่งผิดหวังในที่สุด

      ครั้งหนึ่ง คุณสุกี้ ได้คุยกับคุณ Michael ผู้บริหารค่าย BMG ว่า ทำยังไงเทปถึงขายได้?"ไม่มีใครรู้หรอก" คุณ Michael ตอบ เรื่องแบบนี้ไม่มีใครรู้ 100% แต่ที่ผมรู้ก็คือ "เมื่อไหร่ก็ตามที่เทปขายไม่ดี ศิลปินก็จะบอกว่า จัดจำหน่ายไม่ดี ส่วนจัดจำหน่ายก็จะบอกว่าเป็นเพราะว่า มาร์เก็ตติ้ ไม่ดี และมาร์เก็ตติ้งก็จะบอกว่า เพลงไม่ดี วนเวียนกันอยู่อย่างนี้"ถ้าอย่างนั้นเราควรจะทำอย่างไรดีล่ะ? "วิธีเดียวที่จะผ่านพ้นปัญหานี้ไปได้ ก็คือ.." เขาตอบว่า "คุณจะต้องไว้ใจกัน"..............คุณเห็นอะไรกับเรื่องนี้มั้ย.................................มันมีขัอคิดเหมือนกันนะ..


ถ้าบังอัญในชีวิตของคุณ ต้องพบกับความขัดแย้ง แบบนี้หล่ะ จะทำยังไงดี...น่าคิดอยู่นะคะ
ถ้าอย่างนั้น ขอหยิบยกเอาเรื่องราวของ"วิธีการจัดการความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์" มาฝากละกันค่ะ

สาเหตุของความขัดแย้งที่สำคัญมี 6 ประการ
1. ความไม่พอเพียงของทรัพยากร ทำให้เกิดการแข่งขัน แย่งชิง เพื่อให้ตนเองสามารถบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมาย จนบางครั้งละเลยความรู้สึกและความสัมพันธ์ของทีมงานและเพื่อนร่วมงาน

2. ลักษณะของงานที่ต้องพึ่งพากัน ถ้าหน่วยงานหรือบุคคลกลุ่มใดมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันความขัดแย้งก็จะมีความแปรผันและรุนแรงมากขึ้น

3. การสื่อสารที่ไม่ชัดเจน การสื่อสารที่ดีจะต้องยึดหลัก “4Cs” คือ

- Correct
เนื้อหาต้องถูกต้อง เป็นจริง ไม่ปิดบังซ่อนเร้น
- Clear ต้องมีความชัดเจน ผู้รับข้อมูลจะต้องเข้าใจสิ่งที่ผู้ให้ข้อมูลต้องการสื่อสาร
ได้อย่างถูกต้อง
- Concise ข้อมูลต้อวกระชับ ไม่เยิ่นเย้อ เน้นประเด็นสำคัญของเนื้อหาที่ต้องการ
สื่อสาร
- Complete เนื้อหาจะต้องมีความสมบูรณ์ ไม่ตกหล่นสาระที่มีความสำคัญต่อการ
สื่อสารในครั้งนั้น ๆ

4. ความคลุมเครือในเรื่องขอบเขตของงานและหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้เกี่ยวข้องได้แก่ ความไม่ชัดเจนในเรื่องการกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของแต่ละคน ความไม่ชัดเจนของขั้นตอนการทำงาน และความซ้ำซ้อนของการมอบหมายงานของผู้บริหาร

5. คุณลักษณะของแต่ละบุคคล เนื่องจากแต่ละบุคคลมีความคิด ความคาดหวัง ความเชื่อ ค่านิยม ประเพณี การอบรมเลี้ยงดู การศึกษา ประสบการณ์ ความฝังใจ ที่แตกต่างกัน

6.  บทบาทและหน้าที่ เนื่องจากแต่ละท่านได้รับบทบาทหน้าที่ที่แตกต่างกันไปในสถานการณ์นั้น ๆ นอกจากนี้ ภารกิจและเป้าหมายที่ได้รับก็แตกต่างกันไป ดังนั้น แนวคิด หลักคิดและบทบาทของแต่ละบุคคลที่แตกต่างกัน จึงเป็นเหตุของความขัดแย้งได้อย่างเป็นอย่างดี

แต่ถ้าให้เลือกได้ ก็พยายามจูนเข้าหากันดีกว่าค่ะ อย่าให้ต้องเกิดความขัดแย้งกันเลย..เพราะบางที แก้วที่มันร้าวแล้ว..ก็มักจะยังเหลือร่องรอยไว้ให้จดจำอยู่ดี แต่ถ้าหากหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็ลองใช้วิธีเหล่านี้ไว้เป็นแนวทางกันดูนะคะ...

วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

แนวคิดดีๆจากหนังสือ Bakery & I ชีวิต ดนตรี และเบเกอรี่ ผ่านสายตาของสุกี้


........เมื่อวันก่อน มีเวลาไปเดินหาหนังสืออ่าน ก็ไปเตะตาเอาเข้ากับหนังสือที่ชื่อว่า "Bakery & I" เพราะมีโลโก้ของ Bakery ค่ายเพลงที่เราติดตามผลงานมากที่สุดก็ว่าได้
ตอนนั้น แทบจะน้อยครั้งมาก ที่เราจะไม่ได้ไปดูคอนเสิร์ตที่เบเกอรี่จัด จำได้ว่า ครั้งสุดท้ายก็ได้เห็น โจ้ วงพอส ในเวที ที่หอประชุมธรรมศาสตร์ ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เสียชีวิตของเค้าไม่กี่วันเอง....


        วกกลับมาที่หนังสือเล่มนี้ ที่มีคุณสุกี้ เป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราว ถึงความพยายามร่วมกันทำงานเพลง ซึ่งเป็นความฝันของคนสี่คน ในตอนนั้นมี คุณบอยโกสิยพงษ์ คุณสมเกียรติ อริยชัยพานิช คุณเอื้อง สาลินี ปัญญารชุน และตัวคุณสุกี้เอง ...คุณสุกี้เล่าว่า คาแรคเตอร์ของคนที่สี่คนและไลฟ์สไตล์ของพวกเค้า แทบจะต่างกันโดยสิ้นเชิง คุณสมเกียรติกะคุณบอย จะเป็นคนที่ช่างฝันและมีจินตนาการสูงมาก หน้าที่ของคุณเอื้อง สาลินี ดูแลรับผิดชอบงาน Marketing และ PR ค่ายเพลงในตอนนั้น ส่วนคุณสุกี้ ก็ช่วยดูด้านบริหารและการทำเพลงควบคู่กันไป


...ด้วยการทำงานที่ค่อนข้างขัดแย้งกันในบางที งานในเบอเกอรี่ดูไม่ค่อยจะราบรื่นนัก ในขณะที่ ภายนอก...แฟนเพลงดูเหมือนจะเฝ้ารอและชื่นชมในผลงานที่มีออกมาอย่างเหนี่ยวแน่น แต่นั่นหล่ะ แล้ว..มันเกิดไรขึ้นต่อมา...ทิศทางของเบเกอรี่ ท่ามกลางความขัดแย้ง วันนี้นั่งทำรายงานวิชาวิจัยสื่อสารซะดึก..รู้สึกง่วงซะแระ ไว้มาเล่าให้ฟังต่อพรุ่งนี้ดีกว่า ^^